✿ โรงเรียนตามแบบ ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวนิยม ✿

 



     ด้านหลักสูตร

    • เน้นทั้งด้านวิชาการควบคู่กับวิชาชีพ เพื่อมุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาตนเอง คือ เมื่อจบการศึกษาแล้วต้องประกอบอาชีพได้ โดยเฉพาะเกษตรกรรมหรือเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้เช่นกัน
    • ภาคเช้าเรียนวิชากลุ่มทักษะ และ สปช. ภาคบ่ายเรียนวิชาชีพ หรือกิจกรรมอื่นๆโดยให้โอกาสผู้เรียนเลือกเรียนตามความสนใจ ส่วนวิชาชีพเลือกเรียนได้ไม่เกิน 3 วิชาในแต่ละภาคเรียน
    • เนื้อหาวิชาภาษาไทยฝึกให้นักเรียนฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะการเขียนและจับประเด็นอภิปรายในเรื่องต่างๆ
    • จัดให้มีกลุ่มประสบการณ์ต่างๆ ไว้ให้ผู้เรียนเลือกตามความสนใจ เช่น การงานพื้นฐานอาชีพ ได้แก่ วิชางานประดิษฐ์ งานเกษตร หรือกลุ่มการสร้างเสริมลักษณะนิสัย ได้แก่ ศิลปศึกษา  ดนตรี  




     ด้านการประเมินผล

    • สำรวจพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคนว่าสามารถเรียนรู้ในเรื่องได้ดีหรือควรที่จะเน้นหรือทบทวนเรื่องใดให้เป็นพิเศษบ้าง
    • หาข้อบกพร่องของครูผู้สอน เพื่อจะได้ปรับปรุงการจัดการสอนให้เหมาะสมและเอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มากที่สุด มิใช่วัดผลประเมินผลเพื่อหาข้อบกพร่องของเด็กฝ่ายเดียว
    • เปลี่ยนกลุ่มหรือเลื่อนกลุ่มการเรียนของผู้เรียน เหมาะสำหรับการพัฒนาความสามารถของการเรียนเพื่อยกระดับให้สูงขึ้น
    • การวัดผลนักเรียน ครูจะต้องทำให้ผู้เรียนเกิดการยอมรับในความสามารถของตนเองและของผู้อื่น
    • การเรียนจะต้องไม่เป็นลักษณะการแข่งขันว่าใครเก่งหรือใครอ่อน แต่ควรเน้นให้ผู้เรียนแข่งขันกับตัวเอง
    • ครูต้องหาความโดดเด่นหรือความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเหล่านั้นแนะนำหรือช่วยเหลือกันเองตามความถนัดของแต่ละคน เหมือนการแชร์ประสบการณ์ช่วยเหลือด้านที่อีกคนไม่มีให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น
    • ความสำเร็จของผู้เรียนในโรงเรียนหมู่บ้านเด็กที่มีผู้กล่าวถึง คือ ความกล้าทำ กล้าสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก และรับผิดชอบต่อตนเองได้ดี ช่วยเหลือตนเองในสิ่งที่ทำได้และกล้ายอมรับความผิดที่ตนได้กระทำโดยไม่ปิดบัง




          ตัวอย่างโรงเรียนที่นำ ทฤษฎีแบบอัตถิภาวนิยม








                โรงเรียนในต่างประเทศ

    • การริเริ่มนำมาใช้ทดลองในโรงเรียน คือ เอ เอส นีลล์ (Alexander Sutherland Neill หรือA.S. Neil) โดยทดลองในโรงเรียนสาธิตและโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer hill) ในประเทศอังกฤษ
    • การนำเสนอความคิดของนีลล์ ในขณะนั้น เป็นแนวคิดที่ขัดต่อรัฐและศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งในสมัยนั้นความคิดของเค้าเป็นสิ่งที่รัฐรับไม่ได้  
    • แนวความคิดของนีลล์ได้แพร่กระจายอย่างแพร่หลายในยุโรปทั้งหมด รวมไปถึง อเมริกา แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น และประเทศไทย โดยเกิดเป็น โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ที่ จ.กาญจนบุรี
    • โดยหลักความคิดคือ "ทำให้โรงเรียนเหมาะกับเด็ก ไม่ใช่การทำให้เด็กเหมาะกับโรงเรียน "
    • การเรียนในซัมเมอร์ฮิลล์ เป็นเครื่องมือของการแสวงหาความสุข และหน้าที่ของเด็ก คือการที่เค้าได้ใช้ชีวิตของตัวเค้าเอง ดังนั้นการศึกษาต้องสร้างเสรีภาพให้แก่เด็ก  ในการเลือกในการเรียนด้วยตัวเค้าเอง 
    • กฎเกณฑ์ต่างๆของโรงเรียนจะสร้างมาจากครูและเด็ก ที่เรียกว่า "สภาโรงเรียน"
    • ครูมีความเสมอภาคเท่ากับเด็ก โดยจะลดอำนาจของครูลงมาและเพิ่มอำนาจให้กับเด็ก เพื่อให้เด็กได้สามารถเลือกตามความชอบของตนเอง
    • นีลล์ ใช้ ทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ คือ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Teories) โดยเป็นการแก้ปัญหาจากการนำจิตวิทยามาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็ก โดยเค้าเชื่อว่า ปัญหาของเด็กนั้นเกิดจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ หรือศาสนา ที่เชื่อในเรื่องของบาปดั้งเดิม ที่ไปกดทับทำให้เด็กเกิดปม 
    • โรงเรียนซัมเมอร์ฮีลล์ จึงกลายเป็นโรงเรียนที่มีความสุขที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นสถานที่ที่เด็กสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตนอยากจะเรียน มีเสรีภาพทางด้านชีวิตและความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
    • สภาโรงเรียน จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ของทุกสัปดาห์ เป็นการนำคดีและเรื่องราวต่างๆมาโหวตกันในสภาของทุกคน รวมทั้ง ครู เจ้าหน้าที่ และเด็ก 1 คนเท่ากับ1 เสียง ทุกคนมีสถานะที่เท่าเทียมกัน 
    • การปกครองตนเอง มีลักษณะสำคัญ 2 ประการคือ มีอิสระและมีขอบเขตไปในตัวเดียวกัน กล่าวคือ นักเรียนทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำได้ แต่การกระทำดังกล่าวต้องวางอยู่บนฐานของความรับผิดชอบ นีลได้ยกตัวอย่างว่า การบังคับให้เด็กไม่ปาก้อนหินใส่ผู้อื่นกับการบังคับให้เด็กเรียนภาษาลาตินต่างกัน ในกรณีแรกนั้น การบังคับดังกล่าวเป็นการบังคับเพื่อไม่ให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน แต่ในกรณีที่สอง เป็นการบังคับที่ทำลายความเป็นปัจเจก เพราะการที่เรียนหรือไม่เรียนภาษาลาตินไม่ได้มีผลกระทบต่อใคร ดังนั้นการเรียนภาษาลาตินควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจไม่ใช่การบังคับ 
    • นีลไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิธีการสอน หรือกล่าวได้ว่านีลเชื่อว่าความสนใจของเด็กเองต่างหากที่จะทำให้เด็กอยากเรียนไม่ว่าครูคนนั้นจะสอนด้วยวิธีใดก็ตาม ดังนั้นสภาพในโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลจึงเป็นสภาพโรงเรียนที่นักเรียนมีสิทธิที่ “เลือกเรียนหรือไม่เรียน” การเรียนขึ้นอยู่กับความสนใจ ดังนั้นเด็กในซัมเมอร์ฮิลจึงเข้าเรียนบ้างไม่เข้าเรียนบ้าง ซึ่งบางส่วนให้ความสนใจกับงานศิลปะ หัตกรรม หรือการเป็นช่างซ่อม นอกจากนี้เขายังปฏิเสธการเล่น มองว่าการเล่น เป็นเสมือนขนมหวานที่ล่อหลอกให้เด็กเรียนเท่านั้น
    • ดังนั้น การออกกฎเกณฑ์จะไม่มีเรื่องของครูและหรือเรื่องของนักเรียน เฉพาะ  แต่เป็นเรื่องของทุกคนในการตัดสินใจ ในการอยู่ร่วมกัน และทุกคนต้องเรียนรู้สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ และควรเรียนรู้ในสิทธิของตนเอง และเคารพสิทธิของผู้อื่น 

   


            




            




โรงเรียนในประเทศไทย

    • โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก ที่จังหวัดกาญจนบุรี  โดยนำแนวคิดของโรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์ของประเทศอังกฤษ มาใช้กับโรงเรียนในการศึกษา ผู้ก่อตั้งคือ อาจารย์พิภพ ธงไชย
    • โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก-มูลนิธิเด็ก  " https://www.facebook.com/mbd.ffc/  "
    • เรื่องราวของความตั้งใจ
      • ประเทศไทยมีเด็กยากจนและเด็กถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมาก พวกเขาไม่ได้รับการศึกษา ไม่มีครอบครัว ไม่มีคนที่รักและเอาใจใส่ คงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าวันหนึ่งพวกเขาเติบโตขึ้นกลายเป็นคนก้าวร้าว ไม่สนใจกฎกติกาของสังคม และเป็นปัญหาของสังคม 
      • โรงเรียนหมู่บ้านเด็กก่อตั้งขึ้นเพื่อรับเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ ด้วยความตั้งใจมั่นว่าจะเป็นบ้าน เป็นครอบครัว เป็นโรงเรียน เป็นที่พักพิงและแหล่งบ่มเพาะให้กับพวกเขา ได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณภาพ เป็นอนาคตของสังคมไทย
    • โรงเรียนของเด็กๆ
      • ชุมชนโรงเรียนหมู่บ้านเด็กก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2522 ที่บนเขาสูงริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี โดยท่านศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ท่านศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี นายพิภพ ธงไชย และนางรัชนี ธงไชย ให้เป็นบ้านหลังใหม่ของเด็กยากจน
      • บ้านหลังใหม่ของเด็ก ๆ ตั้งอยู่ในป่า ที่กันดารห่างไกลผู้คน เพราะด้วยความที่งบประมาณมีไม่มากนัก ทำให้การดูแลเด็ก ๆ ในช่วงแรก ๆ เป็นไปอย่างค่อนข้างยากลำบาก
      • ต่อมาคุณกระแสร์ ภังคานนท์ ผู้ใหญ่ใจบุญ และครอบครัวของท่าน ได้เมตตาให้ใช้ที่ดินของมูลนิธิจินดา-อิ่ม-จำเรียง ภังคานนท์ของท่าน เป็นบ้านและโรงเรียนแห่งใหม่ของเด็ก ๆ  โดยท่านยังให้ความช่วยเหลือเรื่องการก่อสร้างอีกด้วย บ้านใหม่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ติดถนนใหญ่สายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ ทำให้ชีวิตของชาวหมู่บ้านเด็กสะดวกมากขึ้น
      • และที่สำคัญ บ้านหลังใหม่ยังทำให้ผู้ใหญ่ใจบุญที่อยากช่วยบริจาคเงินช่วยเหลือเด็ก ๆ สามารถเข้ามาเยี่ยมและช่วยเหลือเด็ก ๆ ได้มากขึ้น
      • ปัจจุบันคุณพ่อกระแสร์และคุณแม่ออย (พ.อ.หญิงศรวณีย์ ภังคานนท์) ได้จากเด็ก ๆ ไปแล้ว แต่เด็ก ๆ ทุกคนจะยังรำลึกถึงบุญคุณของพวกท่านตลอดไป
      • โรงเรียนหมู่บ้านเด็กมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน บางคนไม่มีครอบครัว บางคนพ่อแม่แยกทางกัน บางคนพ่อแม่ติดยาเสพติด บางคนพ่อแม่เป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ เด็ก ๆ ที่นี่มาจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย
    • เราดูแลเด็กอย่างไร
      • เนื่องจากเด็ก ๆ ของเรามาจากครอบครัวยากจนที่ไม่มีความพร้อม พ่อแม่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการเลี้ยงดู ไม่ได้รับโภชนาการที่ดี ไม่ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เด็กบางคนถูกใช้ความรุนแรง บางคนถูกล่วงละเมิด เด็ก ๆ ของเราส่วนใหญ่จึงมีปัญหาด้านสุขภาพ มีสุขภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์ มีพัฒนาการช้ากว่าวัย มีอยู่กว่าครึ่งที่เป็นเด็กพิเศษ เช่น เด็กออทิสติก เด็กดาวน์ซินโดรม เด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าวัย เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้ (LD) เป็นต้น ผู้ใหญ่ที่นี่ต้องเป็นพ่อแม่ของเด็ก ๆ  เป็นครู เป็นพี่ เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าพวกเขามีครอบครัว มีตัวตน และเป็นที่รัก พวกเขาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในโลกนี้ ไม่ได้เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ
      • เด็กของหมู่บ้านเด็กก็มีปมที่มาจากครอบครัวเดิมเช่นกัน เราจึงให้อิสระแก่เด็กในการแสดงตัวตนของเขาออกมา เพื่อค้นหาความคับข้องใจของเด็ก และหาวิธีคลี่คลายความคับข้องใจหรือปมของเด็ก การคลายปมจะทำให้เด็กรู้สึกตัวเองมีคุณค่า เด็กจะมีนับถือตนเอง และจะพัฒนาไปสู่การเคารพต่อผู้อื่นในเวลาต่อมา
    • การเรียนการสอน
      • โรงเรียนหมู่บ้านเด็กจัดการการเรียนให้กับเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถม และมัธยมให้กับเด็ก ๆ  และยังส่งเด็กให้ได้รับการศึกษาทั้งในด้านวิชาชีพในสถาบันระดับอาชีวศึกษาและระดับปริญญาตรี เพื่อให้เด็ก ๆ มีต้นทุนชีวิตที่ดีที่จะก้าวเดินต่อไป การเรียนการสอนได้มีการปรับให้เหมาะสมกับเด็ก ๆ แต่ละคน โดยเฉพาะเด็กที่มีพัฒนาการแตกต่างกันและเด็กพิเศษ
    • เราอยากให้เด็กของเราเป็นแบบไหน
      • เราอยากให้เด็ก ๆ เติบโตไปมีชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษาที่ดี มีอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีวะ มีรายได้ที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว รวมทั้งพ่อแม่ของพวกเขาได้ เราอยากให้เด็กเป็นอะไรก็ได้อย่างที่พวกเขาพวกเขาอยากเป็น เราจึงจัดการศึกษา จัดการเลี้ยงดู และจัดสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต ที่เกื้อหนุนให้พวกเขาเจริญเติบโตและพัฒนาตัวเอง ไปสู่เป้าหมายที่ดีงามของชีวิตที่พวกเขาใฝ่ฝัน ที่สำคัญ เราอยากให้พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีเมตตาจิต พร้อมช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนและขาดโอกาส มีสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และมีความเคารพและเห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสรรพชีวิตอื่น ๆ และเราอยากให้เด็กพิเศษของเรา สามารถดำเนินชีวิตได้เช่นคนทั่ว ๆ ไป   
    • พัฒนาการเด็ก
      • เด็กส่วนใหญ่ของโรงเรียนหมู่บ้านเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าวัย ซึ่งหากปล่อยไปเรื่อย ๆ จะกระทบไปถึงการพัฒนาสติปัญญา อารมณ์-จิตใจ ทักษะทางร่างกาย ทักษะชีวิต และทางสังคม ดังนั้นเด็กที่มีอายุ 4 – 6 ขวบจะได้รับการประเมินพัฒนาการทุก 6 เดือน และเด็กที่มีพัฒนาการช้ากว่าวัยจะได้รับการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการ ส่วนเด็กที่มีอายุเกิน 6 ขวบขึ้นไป จะได้รับการประเมินระดับสติปัญญาหรือ IQ  เด็กที่มีระดับสติปัญญาต่ำกว่าวัย จะได้รับการจัดกระบวนการและการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการพัฒนาสติปัญญา 
    • เด็กพิเศษ
      • โรงเรียนหมู่บ้านเด็กมีเด็กพิเศษ 77 คน มีทั้งเด็กออทิสติก ดาวน์ซินโดรม สมาธิสั้น และเด็กที่มีสติปัญญาช้ากว่าวัย ซึ่งต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ โรงเรียนหมู่บ้านเด็กได้จัดกระบวนการประเมินเด็กพิเศษให้กับเด็กที่ถูกสังเกตว่าอาจจะเป็นเด็กพิเศษ และออกแบบกิจกรรมฟื้นฟูพัฒนาการให้กับเด็กกลุ่มนี้เป็นกรณีพิเศษโดยคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กพิเศษ
      • การจัดห้องเรียนและการเรียนการสอนก็เช่นกัน จะได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับเด็กทั่วไปและเด็กพิเศษ มีการวางแผนการเรียนแบบรายบุคคลหรือ IEP ให้กับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ รวมทั้งพาเด็กไปรับการบำบัดและฟื้นฟูจากผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว และภาควิชากิจกรรมบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
      • ในกรณีเด็กพิเศษที่ไม่สามารถเรียนวิชาการในระดับสูงกว่ามัธยมได้ โรงเรียนหมู่บ้านเด็กได้จัดเตรียมวิชาชีพที่เหมาะสมกับพวกเขา และติดตามช่วยเหลือในการปรับตัวในการทำงาน มีการประสานงานกับนายจ้างเพื่อให้เข้าใจเด็ก ๆ เหล่านี้  ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง เด็ก ๆ กลุ่มนี้จึงมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ                        

*******************************






ที่มา :  https://www.gotoknow.org/posts/677147  

           http://eduzenthai.blogspot.com/2015/09/blog-post_4.html

           https://www.ffc.or.th/mbd


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม